วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ลักษณะผิวขาดน้ำ และ วิธีแก้ไขอาการผิวขาดน้ำ


              ถ้าพูดถึงผิวสุขภาพดี ผิวสุขภาพดีในอุดมคติ คือ ผิวที่ดูมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง อิ่มเอิบ ชุ่มชื้นอยู่เสมอ การมีผิวสุขภาพดี จึงหมายถึงการมีบาลานซ์ของผิวที่เหมาะสม เช่น บาลานซ์ของน้ำมันบนผิวและความชุ่มชื่นนั่นเอง
           การแบ่งผิวที่เราคุ้นเคย เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม เราแบ่งจากน้ำมันบนผิวไม่ได้แบ่งจากระดับความชุ่มชื้นของผิว
 ถ้ามีน้ำมันมาก คือ ผิวมัน
 มีน้ำมันน้อย  คือ ผิวแห้ง
 มีจุดที่แห้งและจุดที่มันผสมกัน ผิวผสม
 ผิวที่ขาดน้ำ คือผิวที่มีปริมาณน้ำในผิวชั้นกำหน้าน้อย
    ถ้าเรามีน้ำในผิวปริมาณน้อยเมื่อไหร่เราสามารถกลายเป็นผิวขาดน้ำได้ ไม่ว่าจะผิวมัน  ผิวแห้ง  ผิวผสม มีโอกาสที่ผิวจะขาดน้ำได้

       ผิวขาดน้ำเป็นยังไง ? วันนี้เรามีลักษณะอาการของโรคผิวขาดน้ำมาบอกพร้อมวิธีรักษา ลองมาดูกันสิว่าคุณกำลังเป็นโรคผิวขาดน้ำกันอยู่หรือไม่ ?


         ผิวขาดน้ำ ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพผิวที่สาว ๆ อาจเป็นกันได้บ่อย ๆ แถมถ้าเป็นแล้วก็อาจจะเป็นสาเหตุหลัก ๆ ให้เกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้อีกด้วย เช่น ผิวคล้ำ ฝ้า กระ และจุดด่างดำ ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยนะคะสาว  ๆ ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด ! เพราะถ้าหากปล่อยให้เป็นปัญหาเรื้อรัง อาจจะทำให้ผิวของคุณเสียจนยากที่จะฟื้นฟูให้กลับมามีสุขภาพดีอีกครั้งได้ แต่ทั้งนี้อาการของโรคผิวขาดน้ำจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับอาการผิวแห้ง แต่ต่างกันตรงที่ผิวจะมันและแห้งไม่เป็นเวลา อันเนื่องมาจากผิวของเราขาดสารหล่อเลี้ยงที่สำคัญอย่างน้ำนั่นเอง
      

         สำหรับปัจจัยหลัก ๆ ที่จะทำให้สาว ๆ เป็นโรคผิวขาดน้ำนั้น ได้แก่ ดื่มน้ำน้อย รวมถึงต้องเผชิญกับแสงแดดแรง ๆ ทุกวัน จึงทำให้ร่างกายขาดน้ำส่งผลให้เกิดอาการผิวแห้งอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้สาว ๆ ที่อยู่ในห้องแอร์นาน ๆ ก็สามารถทำให้ผิวขาดน้ำได้เช่นกัน เพราะอากาศเย็นและแห้งนั้นจะทำให้ความชื้นในอากาศลดลง จนอาจจะก่อให้เกิดอาการผิวขาดน้ำได้ แต่ทั้งนี้หลายคนอาจจะกำลังสงสัยอยู่ว่า... แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผิวของเรากำลังขาดน้ำอยู่หรือเปล่า ? คำตอบก็ง่าย ๆ เลยค่ะ ลองมาเช็กสัญญาณต่อไปนี้กันเลย

อาการของผิวขาดน้ำ สามารถสังเกตได้จาก...

     โดยเฉพาะคนที่มีผิวมันต้องระวังไว้ เราอาจจะรู้สึกว่าหน้ามันดูเยิ้มมาก แต่จริงๆแล้วใต้ผิวเราขาดน้ำ สังเกตุได้จะมีช่วงที่เราหน้ามันเพิ่มขึ้นมากๆ เมื่อผิวเราขาดน้ำขาดความชุ่มชื่น กลไกลร่างกายเราจะยิ่งผลิตน้ำมันออกมาเพื่อเคลือบผิวด้านบนไว้ไม่ให้น้ำระเหยออก เราเลยจะรู้สึกว่าหน้าเรา ดูมันเยิ้มมาก
แต่ผิวจะดูไม่เฟรช ดูไม่สดชื่น ก็จะทำให้บาลานซ์ของผิวเสียไปเรื่อยๆ และในช่วงที่ผิวมันมากกว่าปกติก็จะเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ง่ายยิ่งขึ้น

           สำหรับคนผิวแห้ง อาการผิวลอก และอาจเป็นขุย คันซึ่งจะทำให้ผิวเกิดอาการระคายเคืองโดยไม่ทราบสาเหตุ ถ้าลองเอาเล็บข่วนเบา ๆ จะเห็นว่าผิวจะเป็นรอยเล็บ และมีสีขาวเป็นทางยาว

          เดี๋ยวผิวแห้ง เดี๋ยวผิวมัน อาจจะเกิดได้ในระยะเวลาอันสั้นกลับไปกลับมา หรือบางคนอาจจะหน้าแห้งลอกทั้งที่หน้ามัน

          แต่งหน้าไม่ติด เครื่องสำอางอยู่ไม่ทน ทาครีมไม่ค่อยซึม และรองพื้นที่หน้าแล้วเป็นขุย ๆ จุดนี้แม้จะคล้ายกับอาการผิวแห้ง แต่จะแตกต่างกันตรงที่ผิวแห้งการดูดซึมก็ยังเป็นไปตามปกติ ยังสามารถเกลี่ยเครื่องสำอางและครีมบำรุงได้ง่าย แต่ผิวขาดน้ำผิวจะไม่ดูดซึมเนื้อครีมที่มีความเข้มข้นได้เลย

          ผิวหน้าอิดโรยและไม่สดใส  ผิวขาดน้ำจะทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวจะดูแห้ง และดูหยาบกร้านขึ้น เวลาสัมผัสที่บริเวณผิวจะรู้ทันทีว่าผิวจะไม่นุ่ม หรือไม่กระชับเช่นเคย

          คนที่ผิวขาดน้ำมาก ๆ อาจจะเกิดผื่นแพ้ ผิวแดงเป็นจ้ำ ผิวอักเสบ และเกิดอาการแพ้ง่ายได้ เนื่องจากโครงสร้างผิวกำลังขาดความยืดหยุ่น


วิธีเติมเต็มผิวเพื่อแก้ไขอาการผิวขาดน้ำ สามารถทำได้ดังนี้

          ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ เพราะเนื่องจากผิวของเราขาดน้ำ เราก็เพียงแค่เติมเต็มน้ำให้กับผิวด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ โดยให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว หรือประมาณ 1.5 ลิตรทุกวัน นอกจากจะช่วยรักษาอาการผิวขาดน้ำได้แล้ว ยังจะทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นอีกด้วย

          นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการนอนคือยารักษาโรคที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง เนื่องจากร่างกายเรานั้นจะฟื้นฟูตัวซ่อมแซมส่วนที่สึกในช่วงที่เรานอน ส่งผลทำให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่

          ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมน้ำให้กับผิว เช่น โทนเนอร์ ครีม หรือเจลตระกูล Hydration หรือ Aloe vera ซึ่งอาจจะใช้ควบคู่กับครีมบำรุงที่มีอยู่ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น กักเก็บน้ำได้ดี และล็อคผิวไม่ให้ถูกอากาศดูดความชุ่มชื้นออกไป ผลคือผิวก็จะชุ่มชื้นขึ้น ดูอิ่มน้ำ และมีสุขภาพดีขึ้น

         สำหรับสาว ๆ ที่กำลังมีปัญหาผิวขาดน้ำก็อย่าเพิ่งตกใจไปนะคะ เพราะอาการแบบนี้สามารถรักษาได้ เพียงแค่ทำตามวิธีที่เราแนะนำไป และดูแลเอาใจใส่ผิวให้มากขึ้น เพียงแค่นี้คุณสาว ๆ ก็จะกลับมามีผิวสุขภาพดีและเนียนนุ่มชุ่มชื้นอีกครั้งได้อย่างแน่นอนค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การพักหน้า การดีท๊อกซ์สารพิษออกจากผิว ก่อนเปลี่ยนครีมบำรุง







เวลาจะเปลี่ยนครีมบำรุงผิว ช่วงแรกๆ สิ่งที่เคยเจอคือ มีผดผื่นขึ้นบ้าง 2-3 วัน บางคนก็เป็นอาทิตย์ บางคนก็สิวขึ้น สิวอักเสบ บางคนก็หน้าหมองคล้ำลง
ถามว่าทำไมถึงคล้ำล่ะค่ะ
เพราะก่อนหน้านี้เราผ่านการใช้ครีมมาเยอะมาก ไม่รู้ว่ามีสารสะสมตัวไหนอยู่บนผิวหน้าบ้าง พอมาเปลี่ยนครีมบำรุงเป็นตัวที่สกัดจากธรรมชาติส่วนใหญ่ ผิวมักจะมีเอฟเฟ็กดึงบางอย่างที่ตกค้างออกมาในตอนแรกๆ แต่พอเราใช้ไปสักพัก หน้าเราจะใสเป็นธรรมชาติเอง ส่วนสาวๆที่ต้องการขาวใสในข้ามคืน บอกเลยว่า Freya Anyone  ทำให้ไม่ได้จริงๆค่ะ 3 วัน 7 วัน 14 วัน หรือ 1 เดือน เพราะแต่ละคนไม่สามารถกำหนดได้ ว่าจะเห็นผลไวมากหรือน้อย ขึ้นอยู่สภาพผิวของแต่ละคนด้วยค่ะ  และถ้าต้องการขาวใสแบบรวดเร็วก็ทำให้ไม่ได้เหมือนกัน ที่ร้านอื่นๆมีขายกันเยอะมาก ทาแล้วเช้าตื่นมาหน้าใสมาก แบบนั้นเราคงไม่ขายค่ะ เพราะรู้ดีว่าผลที่จะตามคืออะไร แต่เราทำให้ผิวสาวๆดี  และใสเป็นธรรมชาติตลอดชีพได้แน่ๆค่ะ อยู่ที่คุณจะเปิดใจ ยอมรับ ลบอคติ และตัดสินใจเองค่ะ

                    ขอแนะนำ

1. ก่อนจะเปลี่ยนครีมบำรุงต้องหยุดใช้ "เครื่องสำอางค์ทุกชนิด" เป็นเวลาอย่างน้อย 7-14 วัน ขึ้นไปค่ะ ถ้ามากไป 4-5 วันก็ยิ่งดี เพื่อให้ผิวหน้าได้พักจากการใช้เครื่องสำอางค์ และเป็นการดีท๊อกซ์ผิวหน้า ปรับสมดุลของผิวให้รับการบำรุงจากครีมใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

 2.วิธีการดีท๊อกซ์ผิวหน้า ในระหว่างที่พักหน้า หรือ ผิวหน้ามีการแพ้เครื่องสำอาง “ควรพักหน้าอย่างน้อย 3 - 7 วัน หรือทำติดต่อกัน  10 วันขึ้นไป หรือจนกว่าผิวจะดีท๊อกซ์สารพิษออกมาหมด (ลักษณะสารตกค้างที่ขับออกมา เช่น สิวอุดตัน สิวอักเสบ ผดผื่นคัน บริเวณโหนกแก้ม แนวสันกราม 2 ข้าง รอบปาก คาง และ ผิวหน้าหมองคล้ำ หยาบกร้าน )”

** การพักหน้าจะเป็นช่วงรอยต่อระหว่างครีมเมื่อหยุดครีมเก่าอาจเกิด "แอฟแฟค" ตามมาได้ถ้าครีมเดิมมีสารอันตราย เช่น สิวเห่อ ผิวหนังอักเสบ แดงบวม ผด ผื่นคัน เราจะได้สำรวจตัวเองได้ว่าหยุดครีมเก่าเป็นอย่างไร อันตรายหรือเปล่า**


   สำหรับหน้าแพ้สารเคมี วิธีรักษาหน้าแพ้สารเคมี (ติดสาร) ผิวติดสารอันดับแรกคือ การพักหน้าค่ะ เป็นวิธีแรกที่ควรจะทำก่อนจะไปสรรหาผลิตภัณฑ์ที่รักษาสิวมาใช้ ผลิตภัณฑ์ Freya Anyone แนะนำช่วงการพักหน้างดใช้ครีมบำรุงทุกชนิด โดยเฉพาะประเภท ผลัดเซลผิว งดขัด นวด มาร์ก พอกหน้าที่ผสมสารไวเทนนิ่งอย่างเด็ดขาดนะค่ะ เพราะจะทำให้ผิวหน้าจะยิ่งระคายเคือง


 เช้า -- ล้างหน้าด้วยโฟม หรือเจล หรือสบู่เด็กอ่อน + อโรเวล่าเจลว่านหางจระเข้ + สิ่งที่ขาดไม่ได้ครีมกันแดดต้องทาทุกเช้านะค่ะสำคัญมาก หลีกเลี่ยงแสงแดดด้วยค่ะ เพราะแสวแดดเป็นตัวกระตุ้นให้สิวอักเสบขึ้นมาได้ค่ะ หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าจะดีมากๆ จะหายเร็วขึ้น


 เย็น – ล้างหน้าด้วยโฟม หรือเจล หรือสบู่เด็กอ่อน , พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ไข่ไก่) ทิ้งไว้ให้แห้ง ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกพอกไข่ขาวซ้ำอีกครั้ง ทิ้งไว้ให้แห้งล้างออก  ในการ ล้างน้ำสุดท้าย ให้ใช้น้ำอุ่น + เช็ดด้วยนมสด + ล้างซ้ำด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดรูขุมขน + ทา อโเวล่าเจลว่านหางจระเข้ (พอกให้หนาๆได้) ทิ้งไว้จนเช้า



*** หากไม่พักหน้าและดิท๊อกซ์ผิว มีโอกาสที่สารประกอบครีมเก่า และ ผลิตภัณฑ์ใหม่จะชนกันทำให้เกิดการแพ้ ผดผื่น ***

***  ไข่ขาว -- คุณสมบัติ จะดูดซับสารตกค้างใต้ผิวออกมาจากใต้ผิว

*** อโรเวล่าเจล คุณสมบัติ ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน แก้ปัญหาผิวหน้าไหม้จากแสงแดด ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นเติมน้ำให้ผิว ลดการระคายเคืองของผิว ช่วยรักษาสิวอักเสบและยับยั้งการติดเชื้อ ลดรอยแผลเป็นจุดด่างดำ


3. ถ้าใช้ผลิตภัณฑ์ ของ Freya Anyone "ห้าม!.. ใช้เครื่องสำอางค์อื่นใด ปนกับครีมชุดนี้ เด็ดขาด" เหตุผลเนื่องจาก ครีมสกัดจากธรรมชาติ หากใช้ร่วมกับครีมที่มีไขมันสัตว์ หรือสารประกอบจากเคมี อาจทำให้เกิดการระคายเคือง ผดผื่น หรือผิวอักเสบขึ้นได้



4. กรณี ใช้ครีมชุดใหม่แล้วมีอาการแสบแดง หรือผดผื่น สิวอักเสบให้หยุดใช้ทันทีเนื่องจาก...อาจแพ้สารสกัดจากธรรมชาติบางตัวโดยปกติแล้ว อัตราการแพ้จะมีอยู่ 2% คือ ทุกๆ 100 คนจะมีคนแพ้ครีมนี้ 2 คน (เปอร์เซนต์นี้ได้มาจากกลุ่มผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จริง โดยผู้แพ้ครีมนี้ คือ ผิวที่มีผิวหน้าบอบบางมากๆ หรือผู้ที่ผ่านการใช้เครื่องสำอางค์เคมีอันตรายมาเป็นเวลานาน จนทำให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพต้องได้รับการบำรุงผิวแบบเร่งด่วน และล้ำลึก ก่อนเริ่มใช้ครีมบำรุงควรหยุดพักหน้าอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์

 5. ทุกเช้า ควรใช้ครีมกันแดด เพื่อปกป้องผิวหลังจากปรับสภาพผิวในเวลากลางคืน

เมื่อปรับเซลผิวให้สมดุลแข็งแรง ประมาณ  1 สัปดาห์ จึงเริ่มใช้ครีมบำรุงตัวใหม่ ค่อยๆ ทีละน้อยๆก่อนนะค่ะ ดูอาการผิวหน้า มีแอฟแฟคอะไรเกิดขึ้นเราดีท็อกสารออกหมดหรือยัง  มันต้องใช้ระยะเวลา โดยส่วนใหญ่ที่ผิวหน้าติดสารใช้ระยะเวลารักษาประมาณขั้นต่ำ 1 เดือน









วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ประโยชน์จากไข่ขาว...

ประโยชน์จากการพอกหน้าด้วยไข่ขาว
เนื่องจากไข่ขาวนั้นมีวิตามินเอสูง โดยจะช่วยลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น คืนความกระชับเต่งตึงให้ผิวหน้าและรูขุมขน ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้าง และยังช่วยบำรุงผิวหน้าได้เป็นอย่างดี โดยสาวๆ สามารถดูคุณสมบัติของการพอกหน้าด้วยไข่ขาวเพิ่มเติมได้ดังนี้เลยค่ะ



ไข่ขาวช่วยรักษาสิวเสี้ยน
ไข่ขาวเลื่องชื่อยิ่งนักในการพอกหน้าช่วยลดสิวเสี้ยน วิธีการพอกง่ายมาก เพียงนำไข่ขาวมาทาบนใบหน้าในจุดที่ต้องการกำจัดสิวเสี้ยนจากนั้นนำกระดาษซับหน้ามันมาแปะวางลงไป ปล่อยทิ้งไว้จนแห้งแล้วค่อยๆ ลอกแผ่นกระดาษขึ้นด้านบน ห้ามลอกย้อนลงเด็ดขาดไม่เช่นนั้นอาจทำให้ผิวหน้าเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย นอกจากนี้ สามารถผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อยก่อนนำมาพอกได้ด้วยนะคะ สูตรนี้นอกจากช่วยกำจัดสิวเสี้ยนอย่างได้ผลดีแล้ว ยังช่วยลดเลือนความมันบนใบหน้า ทำให้รูขุมขนกระชับและทำให้สิวเสี้ยนลดน้อยลง แต่ควรพอกเพื่อกำจัดสิวเสี้ยนเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เท่านี้คุณก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นแล้วค่ะ 
ลดความมันบนใบหน้า กระชับรูขุมขนให้เล็กลง
สาวๆ คนไหนที่มีปัญหาหน้ามัน สามารถบอกลาความมันบนใบหน้าง่ายๆ ด้วยการพอกหน้าจากไข่ขาวเป็นประจำเช้า – เย็นได้เลย รับรองค่ะว่าปัญหาหน้ามันจะหมดไป แถมยังช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลงดั่งใจอีกด้วย 
บำรุงผิวหน้าให้เต่งตึงเปล่งปลั่งและปรับสภาพผิวหน้าให้นุ่ม
แค่พอกหน้าด้วยไข่ขาวติดต่อกันประมาณ 7 วัน คุณก็จะสังเกตได้ถึงสภาพผิวหน้าที่ค่อยๆ เต่งตึง เปล่งปลั่ง กระชับสดใสและเนียนนุ่มอย่างใจมากสุดๆ เลยล่ะ
ดีท็อกซ์สารพิษ ปรับสมดุลผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผิวหน้าของเราทุกคนล้วนมีสารพิษตกค้างจากครีมต่างๆ หรือสารพิษที่มาพร้อมมลภาวะรอบตัวอย่างฝุ่น อากาศและแสงแดด เป็นต้น อีกทั้งใครที่กำลังเปลี่ยนครีมบำรุงผิวหน้า การพอกหน้าด้วยไข่ขาวทิ้งไว้ 1 คืน มันจะช่วยดีท็อกซ์สารพิษตกค้างจากผลิตภัณฑ์ก่อนๆ ให้หมดไป ทำให้ผิวเกิดการปรับสมดุลรองรับกับการบำรุงจากสารอาหารตัวใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

การดีท็อกซ์อย่างที่เรารู้นั้นคือกระบวนการนำเอา ท็อกซิน หรือ สารพิษ (toxic substances หรือ toxin) ต่างๆ ออกจากร่างกาย หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่าเป็น “การล้างพิษ” เพราะฉะนั้นเราขอแนะนำให้สาวๆ มาดีท็อกซ์หน้าง่ายๆ ด้วยไข่ขาว กันค่ะ
เผยเคล็ดลับการ ดีท็อกซ์หน้าง่ายๆ
สัปดาห์แรก ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างเดียว
ช่วงเช้า
- ล้างหน้าให้สะอาดด้วยโฟม เจล ล้างหน้า
- ใช้โทนเนอร์เช็ดให้ทั่วใบหน้า เพื่อกระชับรูขุมขน
- พักหน้าจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ เช่น อายส์ครีม เดย์ครีม และไนท์ครีม ต่างๆ
- สามารถแต่งหน้าได้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารเคมี เช่น แป้งฝุ่น ทาลิป ปัดมาสคาร่า ได้เล็กน้อย
ช่วงเย็น
- ล้างหน้าให้สะอาดด้วยโฟม เจล ล้างหน้า
- นำไข่ขาว มาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-20นาที(จนแห้งสนิท)
- ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็น แล้วใช้โทนเนอร์เช็ดให้ทั่วใบหน้า เพื่อกระชับรูขุมขน(ห้ามใช้ครีมบำรุง)
สัปดาห์ที่2 ใช้ผลิตภัณฑ์ กลางคืน
- ทำเหมือนสัปดาห์แรก แต่ในช่วงเย็นสามารถใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงกลางคืนได้แล้ว
สัปดาห์ที่3 ใช้ครีมบำรุงได้ตามปกติ ทั้งกลางวันกลางคืน
- ทำเหมือนสัปดาห์แรกแต่ใช้ ครีมบำรุงได้ตามปกติ
- ในกรณีที่คุณไม่สามารถพักหน้าเพราะต้องออกมาทำงาน หรือออกจากบ้านเป็นประจำ เราแนะนำให้คุณ พอกหน้าด้วยไข่ขาวเป็นประจำช่วงเย็น ติดต่อกัน4สัปดาห์ แต่ใช้ผลิตภัณฑ์ตามปกติ แต่ผลที่ได้อาจจะไม่ค่อยชัดเจนเท่ากับการทำตามขั้นตอน แต่ก็สามารถช่วยทำความสะอาดล้างสารพิษที่ตกค้างบนผิวหน้าได้ แล้วหลังจากนั้นให้พอกไข่ขาว สัปดาห์ละครั้ง เป็นประจำ

ผลที่ได้
1.ช่วยให้ล้างสารพิษ ผิวหน้าสะอาด หมดจดอย่างล้ำลึก
2.ทำให้ผิวหน้าดูดซับสารอาหารจากครีมบำรุงได้อย่างเต็มที่
3.ผิวหน้าสดใส สิว ลดลง ใบหน้าเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น



คำแนะนำก่อนพอกที่สาวๆ ต้องรู้!

แม้จริงอยู่ที่การพอกหน้าด้วยไข่ขาวนั้นจะมาพร้อมคุณสมบัติที่ดีหลายประการ แต่สำหรับผิวสาวบางประเภทก็อาจจะมีปัญหาอยู่บ้างเช่นกัน ดังนั้น ก่อนพอกเรามาดูคำแนะนำตามนี้กันก่อนนะคะ
การพอกหน้าสำหรับสาวผิวแพ้ง่าย
หากใครที่มีสภาพผิวหน้าแพ้ง่าย แนะนำให้พอกหน้าด้วยไข่ขาวเป็นประจำสักสัปดาห์ละ 3 – 4 วัน โดยพอกไว้ครั้งละประมาณ 15 นาที ก็จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ผิวหน้า ช่วยลดรอยแดงจากอาการแพ้ให้น้อยลงหรือทำให้เกิดการจางหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
การพอกหน้าสำหรับสาวผิวแห้ง
สาวคนไหนที่ผิวหน้าแห้ง ไม่แนะนำให้พอกหน้าด้วยไข่ขาวบ่อยๆ นะคะ เพราะไข่ขาวจะยิ่งดูดซับน้ำมันหล่อเลี้ยงใต้ผิวออกไป และทำให้ผิวหน้ายิ่งแห้งมากยิ่งขึ้นได้ กรณีที่ต้องการเติมน้ำมะนาวเพื่อปรับสภาพผิวหน้าให้ขาวกระจ่างใสก็อย่าเติมน้ำมะนาวเยอะเกินไปหรืออาจจะเติมน้ำผึ้งลงไปเจือจางเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยก็ได้
สำหรับสาวๆ ที่ไม่ชอบพอกหน้าด้วยไข่ขาว เพราะไข่ขาวอาจจะมีข้อเสียตรงที่มีกลิ่นคาว และอาจจะมีอาการคันเกิดขึ้นในระหว่างการพอก แต่เมื่อพอกเป็นประจำก็จะเกิดอาการเคยชินและอาการดังกล่าวก็จะค่อยๆ หายไปในที่สุดค่ะ
ประโยชน์จากการพอกหน้าด้วยไข่ขาวให้สิ่งดีๆ กับผิวหน้าของเรามากมาย สาวคนไหนอยากผิวหน้าสวยใสไร้สิวในแบบธรรมชาติ ผิวเต่งตึงอ่อนเยาว์กว่าวัย อย่าลืมใช้สูตรพอกหน้าจากไข่ขาวกันเป็นประจำนะคะ สวยในแบบประหยัด…ไม่ลองไม่ได้แล้ว!



หัวปลี ผักสรรพคุณดี...

หัวปลี หรือส่วนช่อดอกของต้นกล้วย เป็นส่วนหนึ่งของกล้วยที่เรานิยมนำมาปรุงเป็นอาหารหลากหลายเนื่องจากหัวปลีนั้นมีประโยชน์มากมาย  เป็นผักที่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) โดยจะช่วยยับยั้งไม่ให้เซลล์กลายพันธุ์ไปเป็นเซลล์มะเร็ง มีแร่ธาตุและวิตามินหลายชนิดเหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่วิตามินอี แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โพแทสเซียม มีไฟเบอร์สูง แต่แคลอรี่ต่ำ




สรรพคุณทางยาของหัวปลี
หัวปลีมีสรรพคุณทางยาคือ สามารถรักษาอาการอักเสบต่างๆ ของร่างกาย ช่วยสมานบาดแผล บรรเทาอาการซึมเศร้าและช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ทั้งนี้ เพราะหัวปลีมีแมกนีเซียมสูงซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการบำบัดรักษาซึมเศร้าอย่างได้ผล ขณะเดียวกัน ผู้ที่เป็นเบาหวานหากกินหัวปลีในปริมาณพอเหมาะก็จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งสารอาหารจากหัวปลียังสามารถเสริมสร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นผลดีกับคนที่เป็นโรคโลหิตจางได้อีกด้วย  
หัวปลี…ผักชั้นดีบำรุงสุขภาพเพศหญิงได้ดีเยี่ยม!
สำหรับผู้หญิงแล้ว หากกินหัวปลีในช่วงที่มีประจำเดือนก็จะช่วยบรรเทากลุ่มอาการ PMS ได้ หรือแม้แต่ใครที่มีประจำเดือนมากมากกว่าปกติก็จะช่วยให้ปริมาณประจำเดือนมาปกติมากขึ้น เพราะหัวปลีจะช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนโปรเจสโตโรน (Progesterone) ให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายผู้หญิง



วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

น้ำผักปั่นบ้านสุขภาพ

น้ำผักปั่นบ้านสุขภาพ


    เป็นน้ำผลไม้สดจึงช่วยล้างสิ่งปฏิกูลในร่างกาย ตลอดจนสารพิษต่างๆอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด ก็คือการลดอาการปวดต่างๆ จากอาการ ท้องเสีย หรือมีของเสียค้างอยู่ในระบบเลือดมาก มากจนปวดตามกล้ามเนื้อ ซึ่งเมื่อดื่มไปสักระยะเวลาหนึ่ง อาการต่างๆ ที่เป็นอยู่จะค่อยๆลดลงตามลำดับ

     การดื่มน้ำผักเป็นการเติมสารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่ จำเป็นและที่สำคัญ คือ คลอโรฟิลด์ เมื่อดื่มเข้าไปแล้วส่วนที่ต้องถูกดุดซึม ก็จะไป “ฟื้นฟูตับ” มันจะไปก่อน พอ “น้ำตับหลั่ง” น้ำตับอ่อนก็หลั่ง การย่อยคาร์โปรไฮเดรด ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินก็จะทำได้มากขึ้น ใจขณะที่ตัวมันไม่ย่อย ไขมันส่วนที่ เก่าส่วนหนึ่งแล้วเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน ดังนั้นร่างกายก็ได้พลังงานมาสนับสนุนให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้มากกว่าเดิม

       ซึ่งอาการที่ดีขึ้น นั่นคือ ขบวนการที่ร่างกายชะล้างของเสียออกได้มากขึ้น ซึ่งอาการดังกล่าวไม่ควรเก็บกดได้ด้วยการใช้ยาระงับอาการปวด ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการไปหยุดความสามารถในการชะล้างของเสียในร่างกาย และทำให้เกิดการสะสมของสารพิษมากขึ้น  ในทุกระบบของร่างกายและกระจายจนก่อเป็นเซลล์มะเร็ง 

   ในน้ำผักปั่นเป็นกรดอ่อนๆที่มี คลอโรฟิลล์(สารสีเขียวในพืช)มีวิตามินเอ วิตามินซี ธาตุเหล็ก โปรตัสเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส เป็นส่วนประกอบหลัก

 

 อัตราส่วนของผักที่จะใส่น้ำผักปั่น



ผักกาดหอม     2 - 3  ใบ 

คึ่นฉ่าย           2  ก้าน

มะเขือเทศ      1  ลูก

หอมหัวใหญ่   ¼  ลูก 

น้ำผึ้ง             2  ช้อนโต๊ะ (ห้ามใช้น้ำผึ้งค้างหลายปีหรือน้ำเชื่อม)

เสาวรสหรือมะนาว   1 ลูก

แอปเปิ้ล                 ½  ลูก  

น้ำสะอาด               2 - 4 แก้ว ทยอยใส่โถเวลาปั่น


วิธีทำ

 

1. นำส่วนประกอบที่กล่าวในข้างต้นใส่ลงในโถปั่น

 

2. ปั่นรวมกันไม่ต้องแยกกาก เป็นเวลาประมาณ 20 วินาที

 

3. เทน้ำผักที่ปั่นแล้วลงในแก้ว


น้ำผักปั่นมีสารอาการแร่ธาตุที่ช่วยฟื้นฟูการทำงานของ

อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ช่วยการทำงาน 5 ระบบคือ 

 1.ระบบดูดซึม 

 2.ระบบทางเดินหายใจ 

 3.ระบบหมุนเวียนโลหิต 

 4.ระบบภูมิคุ้มกัน 

 5.ระบบต่อมไร้ท่อ

 

ผักกาดหอม  ช่วยฟิ้นฟูเซลล์ระบบประสาทและเซลล์ในปอด

 ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อกระดูกเส้นเอ็น ช่วยบำบัดโรคโลหิตจาง

 คึ่นฉ่าย   ช่วยฟื้นฟูระบบประสาทและฟื้นฟูการสร้างเซลล์ 

เม็ดเลือด ช่วยชะล้างของเสียในระบบเลือด ช่วยให้ร่างกาย

มีความสามารถใช้แคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลด

อาการเจ็บปวดของระบบข้อเสื่อมต่างๆ 

  - มะเขือเทศ  ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง ช่วยทำให้ผิว

พรรณดี เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายมีสารช่วยย่อยอาหาร

ทำให้เยื่อบุ กระเพาะ ลำไส้ทำงานเป็นปกติ หอมหัวใหญ่ 

ช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง

 -  มะนาวหรือเสาวรส    ช่วยฟื้นฟูภูมิคุ้มกันเม็ดเสาวรสมีสาร

อาหารบำรุงสมอง

  - น้ำผึ้ง     ให้พลังงานสำรองม้าม ช่วยบำรุงผิวพรรณ ฟื้นฟู

เซลล์ที่เสื่อมสภาพ

 - แอปเปิ้ล หรือกล้วยน้ำหว้า  ช่วยเสริมระบบขับถ่าย

**หมายเหตุ ผัก ผลไม้ พวกมียางห้ามนำไปปั่นเด็ดขาด 
 เพราะยางจะเปลี่ยนรูปเป็นยางมะตอย เช่น ผักบุ้ง ใบบัวบก
 ว่านห้างจระเจข้ แก้วมังกร อโวคาโด เนื้อฝรั่ง ไม่ดีต่อไต 
และแครอทไม่เหมาะกับคนไทยเพราะมีแคลเซียมไบ
คาบอเนทที่ย่อยยาก**
  
การดื่มเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 - ทยอยดื่มทันทีที่ปั่นเสร็จ ครั้งละ 1 ลิตร 3 ครั้งต่อวัน

 - เวลาที่ดีที่สุดคือก่อนอาหารเช้า

 - หญิงมีครรภ์ควรดื่มเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารในการเจริญเติมโตจากเลือดแม่ทำให้แข็งแรง

    ดื่มสดๆๆเป็นประจำทุกวัน ต้านโรค เพิ่มพลัง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ลดไขมันส่วน ผิวสวย หน้าใส ดูอ่อนวัย ดีกับผู้ป่วยทุกโรค

  น้ำผักปั่นทำหน้าที่ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน

 1.ให้อาหารร่างกายนำไปฟื้นฟูตับกับตับอ่อน

 2. กระตุ้นให้ร่างกายพร้อมในการย่อยไขมันที่เหลือค้างอยู่เปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานทำให้ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะย่อยสารอาหารที่รับประทานเข้าไปในมื้อต่อไป

 Cr.@บ้านสุขภาพ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์